วัดไทยสิงคโปร์ นิกายเถรวาท : ดีไซน์แบบล้ำยุค ทิ้งคราบศิลปะแบบไทยๆไปหมดเลย




ถ้าจะบอกว่า นี่เป็นอาคารในวัดแห่งหนึ่งจะมีคนเชื่อมั้ยครับ?
     ใช่แล้วครับ นี่เป็นอาคาร อเนกประสงค์ของวัด แห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ ชื่อว่า "วัดอนันทเมตยาราม"
     แต่เดี๋ยวก่อน คนอาจจะบอกว่า ก็ไม่ใช่วัดที่ไทย พระไทยนี่นา ทำไมต้องเอามาเปรียบเทียบ 5555
     นั่นแหละครับ ลืมดีไซน์แบบไทยๆ รวมถึง ช่อฟ้า หางหงส์ ใบระกา หลังคาจั่วไปก่อน แล้วมาอ่านกันได้เลย
     มารู้จักวัดกันสักเล็กน้อย ก่อนเนอะ !!

     วัดอนันทเมตยาราม แห่งนี้ เป็นโบราณสถาน ทางพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ อายุกว่า 90 ปีแล้วครับ ก่อตั้ง ราวๆปี พ.ศ. 2463 และมีพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ให้การอุปถัมป์รวมถึงเสด็จหลายครั้งด้วยครับ


     อาคารส่วนมากในวัดเป็นศิลปะแบบไทย ภาคกลางแท้ๆ เลยครับ 
แต่อาคารใหม่หลังนี้เรียกว่า ดีไซน์แบบล้ำยุค ทิ้งคราบศิลปะแบบไทยๆไปหมดเลย โดยอาคารนี้ ใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์ พิภิธภัณฑ์ห้องพักพระภิกษุ รวมถึงห้องปฏิบัติธรรม มูลค่าการก่อสร้าง คือ 6 ล้าน ดอลล่า สิงคโปร์ หรือราวๆ 137 ล้านบาท

     วัดนี่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปของชาวพุทธสิงค์โปร์ และชาวพุทธไทยในประเทศสิงคโปร์โดยจะนิยมมาขอพร ขอโชคลาภ รวมถึงกิจกรรมทางพระพุทธศาสนากันครับ โดยส่วนมากก็รู้จักกันดี ในนามว่า วัดไทยสิงคโปร์


     ปัจจุบันพระเทพสิทธิวิเทศ เป็นเจ้าอาวาสและเป็นประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสิงคโปร์ด้วย

     หลังจาก ที่เราทราบประวัติคร่าวๆไปแล้ว ทีนี้ เราจะเห็นได้ว่า ความจริงแล้ว วัดหลายๆวัด ที่ก่อสร้างอาคาร หรือ อะไรก็แล้วแต่ แปลกไปจากรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมๆ ที่คุ้นตาของชาวไทย ยังไง ก็ได้ชื่อว่าวัดอยู่ดีนะครับ ดังนั้น เราไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์ดีไซน์ การออกแบบต่างๆ จะดีกว่า 

     เวลาเราเห็นคนไทยวิพากษ์วิจารณ์ ว่าวัดนี้ทำไม่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา ศาลาการเปรียญ ไม่มีหอระฆัง ไม่มีเมรุ แล้วเราอยากบอกเหลือเกินว่า วัดแบบไทย ไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธ แต่ที่เราเห็นๆ กัน มันคือศิลปะก็เพียงเท่านั้น ในอนาคตเราอาจจะเห็นการสร้างวัด บนดาวอังคาร ก็ได้ใครจะไปรู้


ที่มา
http://watananda.org.sg/
http://www.archello.com/…/wat-ananda-metyarama-thai-buddhis…

CR:A.Diary https://www.facebook.com/593717457501365/photos/pcb.633427723530338/633417520198025/?type=3&theater


Hill of the Buddha :หุบเขาแห่งพุทธะ ที่ญี่ปุ่น ศิลปะทางพระพุทธศาสนาที่เหนือกาลเวลา แต่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งพุทธะ


Hill of the Buddha : หุบเขาแห่งพุทธะ ที่ญี่ปุ่น
ศิลปะทางพระพุทธศาสนาที่เหนือกาลเวลา 
แต่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งพุทธะ 

     โพสที่แล้วผมพาไปรู้จักกับวัดที่สิงคโปร์มาแล้ว กับการออกแบบที่ล้ำสุดๆ จนต้องบอกว่าลืม ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และศิลปะแบบไทยไปได้เลย

     คราวนี้มารู้จักวัด อีกแห่งหนึ่งจริงก็ไม่เชิงว่าวัด แต่ขอเรียกว่าพุทธศาสถาน แล้วกันครับ ที่ผมชอบมากๆ อีกแห่ง ความแปลกไม่ใช่การออกแบบสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่เป็นการใช้ภูมิทัศน์ หรือแลนด์สเคป มาเป็นกรอบความคิดหลักในโครงการ เพื่อจัดระเบียบสภาพแวดล้อม โดยรอบ 

     Hill of the Buddha เป็นศาสนสถาน ที่ตั้งอยู่ใน สุสาน Makomanai Takino ในเมืองซับโปโร ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เปิดตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2015 

     ออกแบบโดย นาย Ando Tadao สถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นและของโลก 


     จุดมุ่งหมายของโครงการนี้ก็คือการสร้างสถานที่สวดภาวนา โดยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ นามว่า Atama Daibutsu ความสูง 13.5 เมตรและมีน้ำหนัก1500 ตัน เป็นจุดศูนย์กลาง โดยองค์พระนี้สร้างก่อนหน้าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว 

     การออกแบบเนินเขาเล็กๆ ครอบคลุมพระพุทธรูป จะมองเห็นเพียงเศียรองค์พระเท่านั้นจากภายนอก เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริงๆ เพราะปกติ เราก็จะเห็นเอาองค์พระตั้งไว้บนเนินเขาแบบที่เราเห็นในประเทศไทยหรือหลายๆประเทศ หรือไม่ก็สร้างอาคารขนาดใหญ่ครอบไปเลย 

     ความตั้งใจในการออกแบบ คือการสร้างลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาโดยเริ่มจากการเดินผ่านอุโมงค์ยาวเพื่อเพิ่มความคาดหมายของรูปปั้นซึ่งมองไม่เห็นจากภายนอก เมื่อถึงห้องโถงผู้เข้าชมจะขึ้นไปมองพระพุทธรูปซึ่งมีศีรษะล้อมรอบด้วยรัศมีของท้องฟ้าที่ปลายอุโมงค์ เหมือนกับ ฉัพพรรณรังสี ของพระพุทธเจ้า ที่มีหลายเฉดสี 

     อันนี้เหมือนปริศนาธรรมที่คนออกแบบแฝงไว้ โดยให้ผู้คนเดินผ่านทุ่งลาเวนเดอร์สวยงาม ผ่านเข้าในอุโมงค์ ซึ่งจะค่อยๆเผยให้เห็นองค์พระ ทีละหน่อย จนถึงโถงใหญ่ จึงจะพบกับองค์พระเต็มองค์ 

     ความพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ เนินเขาถูกปลูกด้วย ลาเวนเดอร์กว่า 150,000 ต้น ที่จะเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ตามภาพที่เราเห็นนั่นเองครับ 


     เห็นข้อมูลแล้วเป็นยังไง บ้างครับ กับงานออกแบบทางพระพุทธศาสนา ที่เปี่ยมไปด้วยแนวคิด จิตวิญญาณ และความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่น จนทำให้เราอาจจะลืม งานออกแบบในบ้านเราไปเลยก็ได้ 
     ผมไม่เคยบอกว่าศิลปะ แบบไทยไม่ดีนะครับ ศิลปะแบบไทย เรียกว่าเป็นศิลปะที่ผู้คนทั่วโลกยกย่อง แต่ผมไม่อยากให้คนไทย เอาความภูมิใจเหล่านี้ เป็นตัดสินงานออกแบบอื่นๆ ที่เราไม่คุ้นตาก็เพียงเท่านั้น ครับ เพราะอย่างที่เคยบอกไว้ เมื่อโพสที่แล้วว่า “ศิลปะทางพระพุทธศาสนาของไทย ไม่ใช่ ทั้งหมดของพระพุทธศาสนาโลก” 
ในบริเวณเดียวกันมีทั้งโมอายและสโตนเฮนจ์อีกด้วย



Cr. facebook A.Diary https://www.facebook.com/ADiary-593717457501365/
แหล่งข้อมูล 
http://takinoreien.com/?page_id=168 
https://www.vitra.com/en-cz/magazine/details/the-hill-of-the-buddha 
http://www.fubiz.net/en/2017/07/25/hill-of-buddha-by-tadao-ando-2/ 
http://www.spoon-tamago.com/2016/10/20/a-spoon-tamago-guide-to-hokkaido/ 


๕ วัดพุทธศาสนาที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว...ต้องไปเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งก่อนตาย

     ในฐานะเป็นศาสนาหนึ่งที่มีคนส่วนใหญ่นับถือทั่วโลก พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในระบบความเชื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก ได้กำเนิดขึ้นเมื่อ ๒,๕๐๐ปีที่ผ่านมา พุทธศาสนาสอนวิธีการดับทุกข์ และพุทธศาสนาได้แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลกนับตั้งแต่นั้นมา แต่อิทธิพลของพระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปไกลเกินกว่านั้น 
     บนความเชื่อของผู้คนนับล้านผ่านทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน พุทธศาสนายังมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดสถานที่สำคัญที่น่าทึ่งที่สุดในโลกเท่าที่เคยเห็นมา แม้ผู้คนที่ศรัทธาจะมีแรงบันดาลใจเหมือนกัน แต่ทว่าวัดทางพุทธศาสนาก็ได้รับการสร้างขึ้นมาในรูปแบบที่หลากหลายและขนาดที่มีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง 
ต่อไปนี้คือรายชื่อ ๕ วัดของพระพุทธศาสนาที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของแต่ละวัดที่ไม่ซ้ำกัน
คุณต้องไปเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งก่อนตาย

ที่มา: https://goo.gl/gyCtos
 ๑. วัดมหาโพธิ, พุทธคยา ประเทศอินเดีย (The Mahabodhi Temple, Bodh Gaya, India)

     วัดมหาโพธิ ตั้งอยู่ที่พุทธคยา (Bodh Gaya) ประเทศอินเดีย เป็นวัดพุทธศาสนาที่เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ที่สุดในจำนวนรายชื่อห้าวัด 
     ชื่อตามตัวอักษร หมายถึง 'การตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่' วัดมหาโพธิ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่าเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีต้นโพธิ์ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของต้นไม้การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย 
     สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้มีองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมสูงใหญ่ทำด้วยอิฐหินที่ตั้งตระหง่านอยู่มีความสูงประมาณ ๑๘๐ ฟุต รวมทั้งมีอีก ๔ คอหอยแต่ขนาดเล็กกว่าอยู่ล้อมรอบองค์เจดีย์ใหญ่นั้น วัดแห่งนี้เรียงรายด้วยสถูปขนาดเล็กหลายสถูป และมีพระพุทธรูปหลายองค์อยู่ด้านนอกหอคอยหลัก ทั้งยังมีกำแพงซึ่งมีภาพเรื่องราวประวัติของพระพุทธเจ้า 
     วัดนี้เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจักรพรรดิอโศกมหาราช เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีหลังจากการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า 
     วัดมหาโพธิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. ๒๕๔๕


ที่มา: https://goo.gl/gyCtos
๒. มหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า (The Shwedagon Pagoda, Yangon, Myanmar)

     มหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง (หรือเจดีย์ทองคำ) ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในวัดทางพระพุทธศาสนาที่งดงามที่สุดในโลก เจดีย์อันอร่ามด้วยทองแห่งนี้ สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ปกคลุมตกแต่งไปด้วยเพชรพลอย ทับทิมและอัญมณีล้ำค่าจำนวนมากมาย เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าและยอดบนสุดของมหาเจดีย์ประดับด้วยเพชรอันทรงคุณค่าหนัก ๗๖ กะรัต 
     เรื่องเล่าเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของวัดเถรวาทโบราณแห่งนี้ได้สูญหายไปตามเวลา แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ ๖ - ๑๐ 
     ในเวลากลางคืน สีทองอร่ามอันสว่างไสวของพระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่ในระยะไกล


ที่มา: https://goo.gl/gyCtos
๓. วัดฝอกวงซัน เมืองเกาสยง ประเทศไต้หวัน 
(Fo Guang Shan, Dashu District, Kaohsiung, Taiwan) 

     วัดฝอกวงซัน ตั้งอยู่ในเมืองเกาสยง ประเทศไต้หวัน จะถอยหลังกลับมาจากวัดเก่าแก่โบราณคลาสสิกตามรายชื่อห้าวัดดังกล่าว จะนำเสนออีกประสบการณ์ของพระพุทธศาสนาในโลกสมัยใหม่
     วัดมีพื้นกว่า ๓๐๐ เอเคอร์ในเมืองเกาสยง เป็นสำนักงานใหญ่ของวัดฝอกวงซัน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลักการยึดตามหลักพุทธศาสนาด้านช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเป็นวัดที่มีชื่อเสียง โดยยึดวิธีการสอนที่ทันสมัย 
     วัดฝอกวงซัน เป็นวัดในพระพุทธศาสนา นิกายมหายานที่มีชื่อเสียง ได้รับการออกแบบสร้างด้วยศิลปะเอเชียตะวันออกดั้งเดิมและมีหอบูชาที่งดงาม อาคารอันยิ่งใหญ่และมีกิจกรรมมากมายภายในบริเวณวัดขนาดใหญ่แห่งนี้
     วัดยังเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์พระพุทธเจ้าแห่งฝอกวงซัน ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ทางพุทธศาสนาร่วมสมัยที่น่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย 
     พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงนิทรรศการความรู้ทางพระพุทธศาสนา, เหตุการณ์ ประเพณีต่างๆ และยังเก็บรักษาพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าอันเก่าแก่อีกด้วย


ที่มา: https://goo.gl/oLb58L

๔. วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย
(Wat Phra Dhammakaya, Pathum Thani, Thailand)

     วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย เป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่ใหญ่อีกวัดหนึ่ง ให้มุมมองของพระพุทธศาสนาในโลกสมัยใหม่ เป็นที่รู้จักเพราะด้วยวิธีการสอนที่ทันสมัย
     วัดนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทที่มีชื่อเสียงเพราะด้วยขนาดวัดที่ยิ่งใหญ่ประกอบกับรูปแบบการออกแบบสร้างวัดที่ทันสมัย.
     วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยยึดหลักการความเรียบง่าย จึงออกแบบการสร้างที่เรียบง่ายแล้วผสานด้วยสถาปัตยกรรมไทยแบบดั้งเดิมกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อันวิจิตร 
     วัดพระธรรมกายมีสถานที่มากมายที่น่าสนใจ  รวมถึงพระเจดีย์รูปทรงทันสมัยอันสวยงามซึ่งประกอบด้วยพระพุทธเจ้าหนึ่งล้านพระองค์ มีรูปปั้นที่น่าประทับใจยิ่งมากมายและมีสภาสำหรับปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้นับแสน มีพื้นที่ประมาณ ๑,๐๐๐ เอเคอร์ วัดแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของประเทศโมนาโก
     วัดสร้างระบบถนนที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ถนนบำรุงรักษาอย่างดีและช่วยอำนวยความสะดวกให้แขกผู้มาเยือนวัดสามารถเดินทางเยี่ยมชมสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆ ในวัดได้อย่างกว้างขวาง


ที่มา: https://goo.gl/gyCtos
๕. บุโรพุทโธ เมืองมาเกอลัง ประเทศอินโดนีเซีย
(Borobudur, Magelang, Indonesia)

     บุโรพุทโธ เมืองมาเกอลัง ประเทศอินโดนีเซีย ย้อนกลับมาที่วัดเก่าแก่โบราณ มหาสถูปบุโรพุทโธ ตั้งอยู่ที่เมืองมาเกอลัง ของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นวัดพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดาห้าวัดดังกล่าว องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา นิกายมหายานที่สร้างมีลานเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไป ที่จะนำผู้เข้าชมในการเดินทางผ่านจักรวาลทางพุทธศาสนา
     มหาสถูปแบ่งออกเป็นสามชั้นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสามอาณาจักร ได้แก่ ส่วนกามาฐาน (Kamadhatu) (อาณาจักรความรู้สึกหรือขั้นที่มนุษย์ยังผูกพันกับความสุขทางโลก) ส่วนที่ ๒  ขั้นรูปธาตุ (Ruphadatu) (อาณาจักรรูปหรือขั้นที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกมาได้บางส่วน) และส่วนที่ ๓ คือ ขั้นอรูปธาตุ (Arupadhatu) (จักรวาลหรือขั้นที่มนุษย์ไม่ผูกพันกับทางโลกอีกต่อไป) และมีการประดับด้วยเจดีย์มากมายและภาพสลักนูนต่ำทั่วทั้งมหาสถูปแสดงเรื่องราวกฎแห่งกรรมและคติธรรมทางพระพุทธศาสนา 
     แม้ว่าจะไม่ทราบว่าใครเป็นคนสร้างมหาสถูปแห่งนี้ แต่คาดว่าจะมีการสร้างขึ้นจากบล็อกหินกว่า ๒ ล้าน ราว ๆ ศตวรรษที่ ๙
     มหาสถูปที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ยังถือว่าเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญ อีกทั้งพุทธศาสนิกชนในประเทศอินโดนีเซียมักจะไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังโบราณทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชา


                                                                             Translated in Thai by Mali Smile


ขอบคุณข้อมูล
- http://www.huffingtonpost.com/entry/5-unique-buddhist-temples-to-visit-before-you-die_us_59409cace4b03e17eee087ee



"เพื่อนนักบิน..เล่าว่า"...จะมองหา???...แล้วจะบินวนขวา.."พร้อมกับยกมือไหว้"



"เพื่อนนักบิน..เล่าว่า"

เมื่อบินมาลงดอนเมืองทุกครั้ง..

...จะดูด้วยสายตา(Visual check)

มองหา.."พระมหาธรรมกายเจดีย์"





...แล้วจะบินวนขวา.."พร้อมกับยกมือไหว้"

...ขอพรให้ปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน..นักบินผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยก็ทำเช่นนี้..แล้วความสุขก็บังเกิดขึ้นทุกครั้งในทุกเที่ยวบิน..

โดยจะไม่บินทับองค์พระมหาธรรมกายเจดีย์
เป็นเด็ดขาด




สาธุ สาธุ สาธุ !

ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักบินผู้มีใจเลื่อมใสและเคารพในพระรัตนตรัย บางท่าน เท่านั้น


พระมหาเจดีย์ พระพุทธเจ้าล้านองค์ 
คือแหล่งรวมคุณงามความดี

😊คุณประโยชน์ คุณวิเศษของพระเจดีย์มีมากมายซึ่งปรากฎในพระไตรปิฎก 
มีมาตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เก่าก่อน ก่อนยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันพระสมณโคดม

😊พระเจดีย์แห่งนี้เป็นที่รวมของพระพุทธรูป ตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานด้านนอก ๓๐๐,๐๐๐ องค์ ด้านใน ๗๐๐,๐๐๐ องค์ 

😊พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แนะนำ กำหนดรูปแบบของพระเจดีย์ พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งสรรพสิ่ง และมีมหากรุณาถ่ายทอดวิชชาความรู้ (รู้แจ้งโลกและชีวิตแล้วก็ทรงสอน บางคนรู้แล้วไม่สอน บางคนสอนโดยไม่รู้ บางคนไม่รู้และไม่สอน)

😊มหาธรรมกายเจดีย์เป็นศูนย์รวมใจพุทธศาสนิกชนตั้งแต่ซื้อที่ดิน เริ่มก่อสร้าง สร้างสำเร็จ และเสร็จเป็นอัศจรรย์
สร้างองค์พระประจำตัวที่เชิงลาด, top dome ประดิษฐานด้านนอก ด้านในจารึกชื่อตัวเราและบุคคลอันเป็นที่รัก มีบิดา มารดา เป็นต้น


😊พระเจดีย์แห่งนี้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมระดับโลก เช่น มาฆบูชา, กิจกรรมเด็กดี V-Star ฝึกสมาธิรวมกันมาต่อเนื่องหลายสิบปี

พระเจดีย์นี้คงอยู่ กว่าพันปี
ยิ่งกว่าตำนานเล่าขาน ต่อลูก สืบหลาน ชั่วฟ้าดินระเหย


ติดตามอ่านเพิ่มเติมเรื่องพระเจดีย์ได้ที่ http://dhamma-media.blogspot.com/2017/05/blog-post_17.html


ขอบคุณข้อมูล:
- เส้นทางบุญ @Pathofboon
-  Ven,Chai

พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย สถูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก

       มหาสถูปแห่งเกสเรียเดิมมหาสถูปแห่งเกสเรียไม่เป็นที่รู้จักและไม่เป็นจุดสำหรับจาริกแสวงบุญของชาวพุทธ แต่หลังจากกองโบราณคดีอินเดียได้ขุดค้นเนินดินใหญ่พบพระมหาสถูปโบราณที่มีความเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1,400 ฟุต สูงถึง 51 ฟุต (เดิมอาจสูงถึง 70 ฟุต) ซึ่งทำให้มหาสถูปโบราณที่ค้นพบใหม่นี้กลายเป็นมหาสถูปที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์ชเวดากอง (อยู่ที่ประเทศพม่า) และพระมหาสถูปบุโรพุทโธ (ประเทศอินโดนีเซีย) ซึ่งทำให้มีผู้สันนิษฐานว่ามหาสถูปแห่งเกสริยานี้เป็นต้นแบบของมหาสถูปทั้งสอง
พระมหาสถูปบุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย
ที่มา: https://goo.gl/DZbavx
มหาเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า
ทีมา: https://goo.gl/DGhOnD

      โดยมหาสถูปแห่งเกสเรียเป็นสถูปเดียวกับที่ปรากฏในบันทึกของพระถังซำจั๋ง ที่เคยจาริกแสวงบุญมายังสถานที่แห่งนี้ ท่านได้กล่าวไว้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพระมหาสถูปที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธองค์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ชาววัชชีเมืองไวสาลีที่ตามมาส่งเสด็จพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเสด็จไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน
       เกสริยาในปัจจุบันอยู่ห่างจากกุสินาราประมาณ 120 กิโลเมตร ในเขตรัฐพิหาร ระหว่างทางจากเมืองไวสาลีไปยังเมืองกุสินารา (วิกิพีเดีย, https://goo.gl/NsT0yK; http://goo.gl/D0ah1m)

ประวัติศาสตร์ครั้งพุทธกาล

       เมืองไวสาลีเป็นเมืองหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับและแสดงธรรมแก่ชาวเมืองไวสาลีหลายครั้ง กล่าวกันว่าพระองค์ได้เสด็จมาประทับคืนสุดท้ายที่เมืองไวสาลี ภายหลังที่ทรงปลงอายุสังขารว่า พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพานหลังจากนี้ไปสามเดือน ในวันรุ่งขึ้นทรงลาชาวเมืองไวสาลีเพื่อเสด็จไปยังกรุงกุสินารา
       วันที่เสด็จมุ่งหน้าไปยังกรุงกุสินารานั้น ตามตำนานเล่าว่า ชาวเมืองไวสาลีกลุ่มใหญ่ได้ตามมาส่งพระพุทธเจ้าและจะเดินทางไปพร้อมกับพระองค์ โดยปฏิเสธที่จะเดินทางกลับ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก และกลุ่มชาวเมืองไวสาลีเดินทางมาถึง นิคมเกสปุตตะ (Kessaputta) พระพุทธเจ้าทรงเกลี้ยกล่อมให้ชาวเมืองไวสาลีเดินทางกลับ แต่ดูเหมือนชาวเมืองไวสาลีจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ดังนั้น เพื่อทำให้ชาวเมืองไวสาลีกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาส่งพระพุทธองค์เกิดความสบายใจและพากันเดินทางกลับ พระองค์จึงทรงประทานบาตรเพื่อไว้เป็นที่ระลึกแก่ชาวเมืองไวสาลี และเสด็จมุ่งหน้าสู่กรุงกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน


พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย เมืองไวสาลี 
       หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เชื่อกันว่า ชาวเมืองไวสาลีนำโดยเจ้าลิจฉวี ได้สร้างสถูปขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพระพุทธเจ้า พร้อมกันนี้ได้ประดิษฐานบาตรที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ไว้ในสถูปแห่งนี้ สถูปแห่งนี้นามว่า “พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย (Kesaria Stupa)”

มหาสถูปแห่งเกสเรียในปัจจุบัน 

       ต่อมาสถูปแห่งนี้ได้สูญหายไปทั้งหลังเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ.1934 ภัยธรรมชาติในคราวนั้นทำให้สถูปหลังนี้ฝังอยู่ใต้แผ่นดินมาเป็นเวลานาน จวบจนกระทั่งปี ค.ศ.1998 รัฐบาลอินเดียโดยหน่วยงานสำรวจทางโบราณคดี Archaeological Survey of India (ASI) ได้ทำการขุดหาสถูปหลังนี้เพื่อสืบค้นร่องรอยประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรือง ณ ดินแดนแห่งนี้ ภายหลังจากการขุดแล้วเสร็จเพียงบางส่วน สถูปหลังนี้ได้สร้างความตกตลึงให้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสำรวจทางโบราณคดีเป็นอันมาก เพราะมีขนาดใหญ่ จนกล่าวกันว่าเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับสถูปทางพระพุทธศาสนาหลังอื่นๆ
บนมหาสถูปเกสเรีย แต่ละช่องบรรจุพระพุทธรูปนั่งปางต่างๆ

พระพุทธรูปในช่องบนมหาสถูปเกสเรีย

       พระมหาสถูปแห่งเกสเรียหลังนี้ มีความสูง 104 ฟุต อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นเดินไหวอย่างรุนแรงในคราวนั้น เชื่อกันว่า ความสูงของสถูปหลังนี้อยู่ที่ประมาณ 123 ฟุต แหล่งข้อมูลบางแห่งเชื่อว่า เริ่มแรกสถูปหลังนี้สร้างขึ้นที่ความสูงประมาณ 150 ฟุต มีความกว้างรายรอบวงนอกตัวสถูปอยู่ที่ประมาณ 1,400 ฟุต และตัวสถูปประกอบด้วย 6 ชั้น
       เนื่องจากความยิ่งใหญ่ ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาของพระมหาสถูปแห่งเกสเรียหลังนี้ รวมทั้งดินแดนเมืองไวสาลี ทางรัฐบาลอินเดียต่างเร่งบูรณะตัวสถูปและปรับปรุงสถานที่โดยรอบบริเวณนั้น นอกจากงานบูรณะปรับปรุงแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลอินเดียพยายามตามหาเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ที่เดิมคือที่สถูปแห่งนี้ นั่นคือ บาตรของพระพุทธเจ้า 
                                                                                        By Mali Smile


ที่มาข้อมูล:  http://goo.gl/D0ah1m; เกสเรีย มหาสถูปใหญ่ที่สุดในอินเดีย http://goo.gl/EBDyBb; 
พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย เมืองไวสาลี  http://goo.gl/DBy6Vn
ทีมาภาพ: https://goo.gl/euCy8u


น่าทึ่ง ค้นพบ รูปทรงเจดีย์ที่ไร้กาลเวลา ผ่านมากว่า 2000 ปี


รูปแบบเจดีย์จากแรกมี ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ


รูปทรงสถูป ศิลปอินเดียสมัยโบราณ

       การสร้างสถูปเป็นพุทธเจดีย์นั้น เป็นที่แพร่หลายในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ถึงได้อุทิศพระองค์เป็นอุบาสก แล้วเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุอยู่คราวหนึ่ง พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเมื่อพระองค์ได้เสด็จจาริกแสวงบุญไปในที่ต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหรือพุทธสาวกที่สำคัญ เช่น สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน พร้อมกับทรงสร้างสถูปและเสาอโศกประดิษฐานไว้ยังสถานที่นั้นๆ เพื่อเป็นที่สักการบูชาของคนในท้องถิ่น และเป็นเครื่องชี้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ พระองค์ยังได้แจกพระบรมธาตุไปประดิษฐานไว้ในประเทศต่างๆ และประสงค์จะให้สร้างสถูป (หรือเจดีย์) บรรจุอัฐิธาตุของพระสังฆเถระ เป็นบริวารของมหาสถูปทั่วชมพูทวีป เป็นจำนวน 84,000 องค์ด้วย
     ลักษณะพระสถูปที่สร้างเมื่อครั้งพระเจ้าอโศกนั้น มักทำตัวสถูปกลม รูปทรงเหมือนขันน้ำหรือโอคว่ำข้างบนทำเป็นพุทธอาสน์สี่เหลี่ยมตั้งไว้และมีฉัตรปักบนนั้นเป็นยอด ใต้ตัวสถูปทำเป็นฐานรอง รอบฐานทำเป็นที่สำหรับเดินประทักษิณ แล้วมีรั้วล้อมรอบ (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2469: 37-38) ดังพระสถูปสาญจี ศิลา ที่ยังคงเหลือเป็นหลักฐานมาถึงยุคปัจจุบันนี้ 
   
พระสถูปที่สาญจี ศิลปอินเดียสมัยโบราณ พุทธศตวรรษที่ 5
ที่มาภาพ: https://goo.gl/tZpLPm

รูปทรง สัณฐาน ของสถูปอินเดียโบราณ
ที่มาภาพ: https://goo.gl/l8Pd9J

มหาสถูป" ที่สาญจี 

     มหาสถูป สาญจี ปัจจุบันอยู่ในรัฐมัธยมประเทศของอินเดีย ที่นี่เป็นดินแดนแห่งสถูป (เจดีย์)วัด วิหาร และเสาศิลาจารึก สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 250 แต่เดิมเป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยดิน และได้มีการบูรณะเพิ่มเติมในสมัยราชวงศ์ศุงคะ หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-4 ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งได้พบสถูปองค์ ที่ 1, 2,3 พร้อมกุฏีที่พักสงฆ์เป็นจำนวนมาก แต่สถูปได้ถูกทำลายเป็นส่วนมาก โดยพวกนักล่าสมบัติ
     พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างมหาสถูปสาญจีขึ้น ในสมัยที่เป็นอุปราชปกครองกรุงอุชเชนี ด้วยพระประสงค์สำคัญ 4 อย่างคือ
      1. เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. เพื่อบรรจุพระธาตุของพระอัครสาวก พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ รวมทั้งพระธาตุของพระสมณทูตอีก 10 รูป ที่ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาภายหลังการสังคายนาครั้งที่ 3
      3. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระโอรส “มหินทระเถระ” และพระธิดา “พระสังฆมิตตาเถรี”
      4. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระมเหสีพระนามว่า พระนางเวทิสา ผู้มีถิ่นกำเนิดที่สาญจี แห่งนี้
       
     ปัจจุบันสถูปเจดีย์สาญจีอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีลักษณะเป็นรูปกลม “ทรงโอคว่ำ“ ถือเป็นรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุด มีความสูง 16 เมตร กว้าง 37 เมตร มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ มียอดฉัตรสามชั้น พร้อมกำแพงหินสลักภาพพุทธประวัติที่งดงามยิ่งนัก รวมถึงภาพพระพุทธเจ้าในอดีต และภาพสัตว์ต่างๆ ที่สื่อความสำคัญทางพระพุทธศาสนา
     นอกจากนี้ ในสมัยพระเจ้าอโศก ภายหลังการเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเถระยังดินแดนสุวรรณภูมิ ส่งผลให้สถูปเจดีย์จากอินเดีย ได้ส่งอิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ในประเทศไทยในกาลต่อมาอีกหลายแห่ง อาทิ พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร, พระประโทณเจดีย์ วัดพระประโทณเจดีย์วรวิหาร, เนินวัดพระงาม ตั้งอยู่ในวัดพระงาม จังหวัดนครปฐม เป็นต้น (พระมหาสมจินต์ สมมาปญโญ (2547)  http://goo.gl/KbOhUP)    

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

      พระปฐมเจดีย์ ถือว่าเป็นเจดีย์องค์แรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ พระโสณะ พระอุตตระ และคณะได้เดินทางมาประกาศพระพุทธศาสนาที่ดินแดนสุวรรณภูมิ องค์เจดีย์ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่องค์เดิม แต่เป็นเจดีย์ที่ก่อขึ้นมาใหม่หุ้มองค์เดิมไว้
     พระปฐมเจดีย์องค์เดิมมีลักษณะเหมือนเจดีย์ที่สาญจิ ประเทศอินเดีย กล่าวคือ องค์เจดีย์เป็นรูปกลม เหมือนโอหรือขันน้ำคว่ำ ข้างบนทำเป็นพุทธอาสน์สี่เหลี่ยมตั้งไว้ มีฉัตรปักเป็นยอด ฐานเจดีย์ทำเป็นสี่เหลี่ยม รอบฐานทำเป็นที่เดินประทักษิณ อีกประการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อคราวที่พระสมณทูตในพระเจ้าอโศกมหาราชเดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิมมีลักษณะทรงโอคว่ำหรือทรงมะนาวผ่าซีกแบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ มีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ (วิกิพีเดีย. https://goo.gl/zDT5of)


ที่มาภาพ: https://goo.gl/Bwq6Tx
รูปแบบพระปฐมเจดีย์ องค์เดิม
ที่มา: https://goo.gl/nPu22b
          พระปฐมเจดีย์องค์เดิมมีขนาดความสูง ๑๙ วา ๒ ศอก (หรือ ๓๙ เมตร) ถูกทิ้งให้รกร้างไม่มีใครดูแลอยู่ระยะหนึ่ง สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชอยู่ เสด็จฯไปนมัสการพระปฐมเจดีย์หลายครั้ง ทรงเห็นว่าเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ เมื่อขึ้นครองราชย์ จึงได้โปรดฯให้ก่อเจดีย์แบบลังกาครอบเจดีย์องค์เดิมไว้เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ มีขนาดความสูง ๑๒๐ เมตร ๔๕ เซนติเมตร
    ดังนั้น ลักษณะองค์เจดีย์ในปัจจุบัน ทรงพระปรางค์ ปากผาย โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นใหญ่ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ขนาดความสูงจากพื้น ๑๒๐ เมตร ๔๕ เซนติเมตร มีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ประดิษฐานโดยรอบ ๘๐ องค์ ประกอบด้วยพระวิหาร ๔ ทิศ กำแพงแก้ว ๒ ชั้น
    

พระปฐมเจดีย์ องค์ปัจจุบัน จ.นครปฐม
ที่มาภาพ: https://goo.gl/HvnxFd

เจดีย์แบบปรางค์
     ระยะเวลากว่าพันปีมาแล้ว ที่ดินแดนไทยรวมทั้งดินแดนใกล้เคียงในภูมิภาคแถบนี้ ได้เข้าสู่วัฒนธรรมศาสนาภายใต้ระบบกษัตริย์ ซึ่งแผ่ขยายจากประเทศอินเดียโบราณ ทำให้แบบแผนด้านงานช่างหรือที่เรียกว่า "ศิลปกรรม" อันเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่ง ในการเผยแผ่คติความเชื่อและการศรัทธาในศาสนา ได้ก้าวผ่านพัฒนาการมาเป็นลำดับ จนมีลักษณะเฉพาะเป็นลำดับยุคสมัยของดินแดนเหล่านั้น ซึ่งการติดต่อไปมาหาสู่กัน ทำให้เกิดการถ่ายรับแรงบันดาลใจด้านรูปแบบ และคติความเชื่อระหว่างดินแดนทั้งใกล้และไกลอีกด้วย จึงมีรูปแบบเจดีย์ทรงอื่นๆ มีการปรับปรุงอยู่ในดินแดนต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา  (สารานุกรมสำหรับเยาวชน, http://goo.gl/WSK4GR)

    เจดีย์อีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “ปรางค์” มีแบบอย่างมาจากปราสาท(เรือนหลายชั้น) ปราสาทนี้เดิมทีเดียวสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของคนมั่งมี สร้างด้วยไม้ ต่อมามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแบบการสร้างปราสาท นิยมสร้างอิฐและศิลาเกิดเป็นพระปรางค์ นิยมสร้างกันทั้งในกลุ่มคนที่นับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์(ฮินดู) สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหรือเทวรูป ถ้าเป็นพระปรางค์ในพระพุทธศาสนา ยอดทำเป็นสถูป แต่ถ้าเป็นปรางค์ในศาสนาพราหมณ์ ยอดทำเป็นตรีศูล (๓ สามแฉก) หรือนพศูล(๙ แฉก)  
 พระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ที่มาภาพ: https://goo.gl/LtKqoo

     พระปรางค์วัดศรีสวาย (สามองค์)
ที่มาภาพ: https://goo.gl/TqsoC7

    พระปรางค์ของไทยโดยทั่วไปมีลักษณะรูปทรงคลี่คลายมาจากอิทธิพลแบบอย่างสถาปัตยกรรมสิขร ของขอมและอินเดียผสมผสานกัน แต่มิได้ลอกเลียนแบบมาโดยตรง พุทธปรางค์ในสมัยสุโขทัยแม้จะมีอยู่เพียงไม่กี่องค์ก็ตาม แต่ก็มีปัญหาถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ปรางค์ต่างๆ เป็นปรางค์ที่ขอมสร้างไว้เมื่อครั้งยังมีอำนาจในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและเลยขึ้นไปถึงลำน้ำยม ต่อมาเมื่อไทยมีอำนาจมากขึ้น ได้ดัดแปลงแต่งเติมเพิ่มขึ้นภายหลัง จึงปรากฏรูปแบบศิลปะของฝีมือช่างไทย คือรูปทรงสูงชลูด พุทธปรางค์เท่าที่ปรากฏอยู่มี พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระปรางค์วัดเจ้าจันทน์ ในอำเภอศรีสัชนาลัย พระปรางค์วัดศรีสวาย (สามองค์) พระปรางค์วัดพระพายหลวง (สามองค์) และศาลผาตาแดง(ยอดพังลงหมดแล้ว)ในอำเภอเมืองสุโขทัย  (Ramkhamhaeng University.ศิลปกรรมสัมยสุโขทัย http://goo.gl/6ckzhl

เจดีย์ประธานทรงระฆัง ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ที่มาภาพ: 
https://goo.gl/u56EYI

     เจดีย์ที่พบในประเทศไทย มีทั้งแบบเจดีย์ประธานยอดดอกบัวตูม ที่วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เจดีย์ประธานทรงระฆัง ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน เจดีย์ทรงระฆังแบบทรงเครื่อง เจดีย์ทรงเครื่องวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง เจดีย์วัดสามพิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เจดีย์ทรงปราสาทแบบหริภุญชัย ที่วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน
ที่มาภาพ: 
https://goo.gl/PMZB1z

      เจดีย์ทรงปราสาทแบบหริภุญชัย ที่วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน เจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัย ที่วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆังแบบสุโขทัย ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว ศรีสัชนาลัย เจดีย์ทรงปราสาทแบบขอม ที่ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เจดีย์ทรงปราสาทแบบขอม ปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี

พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
ที่มาภาพ: 
https://goo.gl/xY2OXp

        เจดีย์ทรงปรางค์ ปรางค์ประธาน ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม เจดีย์ทรงปรางค์นี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม ๒ สาย พราหมณ์(ฮินดู)กับพระพุทธศาสนา ยอดปรางค์เป็น ๓ แฉก(ตรีศูล) แสดงถึงอาวุธประจำตัวของพระศิวะ(พระอินทร์) หรือแสดงถึงเทพใหญ่ ๓ องค์ของฮินดู คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิว(ตรีมูรติ) ยอดปรางค์เป็น ๙ แฉก เช่นปรางค์วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ มีกิ่งรูปดาบแตกสาขาออกไป ๔ ทิศ แสดงถึงโลกุตตรธรรม ๙(พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (2547)  http://goo.gl/KbOhUP)



มหาธรรมกายเจดีย์เป็นเจดีย์รูปทรงดั้งเดิม ร่วมสมัยพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ
ที่มาภาพ: 
https://goo.gl/D81EG0

    ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า รูปแบบเจดีย์สมัยต่างๆ ที่กล่าวมาโดยย่อนี้ สะท้อนภาพรวมที่เป็นเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมในอดีตของดินแดนไทย มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่นมีการผสมผสาน จนในที่สุดกลายมาเป็นเจดีย์ในศิลปะรัตนโกสินทร์ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน  
    เราจะเห็นว่าในพระพุทธศาสนา ปรากฎรูปแบบของพุทธเจดีย์หลายหลาก แต่ทุกรูปแบบนั้นเหตุที่สร้างขึ้นมีเหมือนกันในทุกๆ ภูมิภาค (เกษมสุข ภมรสถิตย์, 2558: 42) คือ
   1. สร้างเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
   2. สร้างเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์
   3. สร้างเพื่อสักการะเคารพบูชา
     

                                                                         เรียบเรียงโดย: มะลิ สไมล์ ,นักวิชาการอิสระ


อ้างอิงข้อมูล: 
1.สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ.ตำนานพระพุทธเจดีย์.2469.
2.ศาสตราจารย์ ดร. สันติ เล็กสุขุม.เจดีย์ ความเป็นมาและคำศัพท์เรียกองค์ประกอบเจดีย์ในประเทศไทย.พิมพ์ครั้ง ที่ 5,2552.
3.พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ "เจดีย์ในพระพุทธศาสนา" (2547)  http://goo.gl/KbOhUP.